แม้ประชาชนชาวไทยต่างยังคงโศกเศร้ากับการเสด็จสู่สวรรคาลัยของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทยทั้งประเทศ แม้พระองค์ท่านจะได้จากพวกเราไปแล้วแต่ว่ายังคงมีเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชดำริ ,พระราชดำรัส หรือพระราชกรณียกิจ ซึ่งเป็นคำสอนของพ่อหลวงที่พระองค์ได้ทิ้งไว้ให้พวกเราได้ดำเนินรอยตามคำสอนของพ่อ และอีกหลายๆ เรื่องราวที่เราๆ ท่านๆ อาจจะไม่เคยทราบมาก่อน หรืออาจจะเคยอ่านเจอเรื่องราวที่สุดประทับใจของ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่แม้ว่าจะอ่านกี่ครั้งก็ยังคงสร้างรอยยิ้มได้เสมอ เพียงแต่วินาทีนี้ต่อไป อาจจะเป็นรอยยิ้มทั้งน้ำตา เฉกเช่นเรื่องราวที่เราได้นำกลับมาให้คุณได้อ่านกันอีกครั้ง แม้ว่าบทความนี้จะถูกถ่ายทอดมาตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วก็ตาม แต่เชื่อได้ว่าหากคุณได้อ่านอีกครั้ง อาจทำให้คุณรักพ่อหลวงเพิ่มขึ้นอีกหลายพันเท่า
เรื่องเล่าแห่งความประทับใจจากราชเลขาฯของสมเด็จย่าฯ ภายหลังจากงานพระบรมศพสมเด็จย่าฯ เสร็จสิ้นลง…
ก่อนสมเด็จย่าฯ จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นสมเด็จย่าอายุ 93 ชรรษา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จจากวังสวนจิตรลดา ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน เสด็จเพื่อไปเสวยพระกระยาหารกับเสด็จแม่ ไปคุยและทำให้แม่ชุ่มฉ่ำหัวใจ ซึ่งพระองค์ท่านเสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน แล้วมีใครบ้าง? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แต่สามารถเดินทางไปหาแม่เพื่อกินข้าวกับแม่ได้ถึงอาทิตย์ละ 5 วันเหมือนพระองค์ท่าน สมัยนี้หายากมาก แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย ซึ่งตอนที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพ และเป็นถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ แถมยังมีโครงการเป็นร้อยเป็นพันโครงการ ซึ่งทรงงานมากกว่าคนทั่วไปหลายร้อยเท่ากลับมีเวลาไปกินข้าวกับเสด็จแม่สัปดาห์ละ 5 วัน ต่างกับพวกข้าราชการ ปลัด ทหาร ตำรวจ ยศสูงๆ หรือแม้แต่คนธรรมดาที่มักจะอ้างว่างานยุ่ง และไม่เคยไปกินข้าวกับแม่ บางคนอยู่บ้านเดียวกับแม่ด้วยซ้ำ พอแม่บอกว่าให้พาไปกินข้าว หรือกลับมากินข้าวพร้อมหน้ากันสักหน่อยกลับบอกว่าไม่มีเวลา แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ ไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อน มันช่างผิดกันยิ่งนัก
ทุกครั้งที่ในหลวงเสด็จไปหาสมเด็จย่าฯ ในหลวงจะต้องเข้าไปกราบที่ตักสมเด็จย่าฯ ตลอด ส่วนสมเด็จย่าก็จะดึงตัวในหลวงเข้ามากอด กอดเสร็จแล้วก็หอมแก้ม ตอนสมเด็จย่าฯ ทรงหอมแก้มในหลวง หลายคนอาจจะคิดว่าแก้มของในหลวงรัชกาลที่ ๙ คงไม่หอมเท่าไรเพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไมสมเด็จย่าฯ ทรงหอมพระองค์ท่านแล้วรู้สึกชื่นใจ นั่นเป็นเพราะสมเด็จย่าท่านทรงได้กลิ่นหอมจากหัวใจในหลวงที่เราเรียกกันว่าเป็น กลิ่นหอมแห่งความกตัญญู หรือ หอมกลิ่นกตัญญู ก็คงไม่ผิด
แม้สมเด็จย่าฯ จะไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์และเป็นคนธรรมดาสามัญชน เป็นเด็กหญิงสังวาล ที่เกิดหลังวัดอนงค์เหมือนเด็ก หญิงทั่วไป แต่สำหรับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า เป็นกษัตริย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว ในหลวงที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ก้มลงกราบผู้ที่ให้กำเนิด ด้วยหัวใจลูกที่เคารพแม่ กตัญญูกับแม่ ผิดกับบางคน พอเป็นใหญ่เป็นโต มีหน้าที่การงานดีแต่ไม่กล้าไหว้แม่ ไม่กล้าบอกว่าเคยมีแม่จนๆ ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเคยมาจากเบื้องต่ำ เป็นชาวนา เป็นลูกชาวนา พ่อแม่เป็นกรรมกร เป็นลูกจ้าง นอกจากจะไม่เคารพแม่แล้ว ยังดูถูกแม่ก็มีถมไป แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เทิดแม่ไว้เหนือหัว “นี่แหละที่เขาเรียกว่าความหอมแห่งความกตัญญู”
นี่คือ เหตุที่สมเด็จย่าฯ ทรงหอมแก้มในหลวงทุกครั้ง พระองค์ท่านหอมความดี หอมคุณธรรม และหอมความกตัญญูของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เมื่อหอมแก้มเสร็จแล้วก็ร่วมโต๊ะเสวย เหล่านี้คือสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ลูกๆ ควรให้เวลากับท่านบ้างอย่าลืมพ่อ แม่ของเรา ลองนึกถึงในหลวง รัชกาลที่ ๙ ท่านทรงงาน และมีพระราชกรณียกิจมากมาย แต่พระองค์ท่านไม่เคยลืมสมเด็จย่าฯ และทรงกลับมาทำหน้าที่ลูกของแม่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเสมอ…