พ.ย.29
น้ำหอมไม่จำกัดเพศ
ย้อนไปก่อนยุควิกตอเรียในสมัยที่น้ำหอมยังถูกจำกัดอยู่แค่ในแวดวงชนชั้นสูงเข้าถึงได้ยากและเป็นการปรุงเฉพาะตัวแถมกลิ่นหอมที่ได้นั้นยังไม่หลากหลายส่วนมากเป็นน้ำมันจากดอกไม้เปลือกผลไม้ไม้หอมและสารหอมที่สกัดจากสัตว์ด้วยความจำกัดจำเขี่ยของสารตั้งต้นปรุงน้ำหอมและการเข้าถึงกลิ่นหอมในยุคนั้นจึงไม่ได้จำกัดว่าใครเพศไหนกลิ่นใดจะเป็นภาพตัวแทนของผู้ชายหรือผู้หญิงทุกคนสามารถเลือกกลิ่นหอมที่ตัวเองชอบได้จริงๆตามความพึงใจ
แต่หากรู้สึกว่ามันก็น่าสนุกดี แสดงว่าคุณยังมีพื้นที่เล็กๆ ในใจให้กับความคิดใหม่ คำถามต่อไปคือคุณคิดว่า ‘ผู้ชายเหมาะกับสีฟ้า ผู้หญิงเหมาะกับสีชมพู’ หรือ ‘กุหลาบจำกัดแค่เพศหญิง ผู้ชายมันก็ต้องกลิ่นหนัง กลิ่นวิสกี้หนักๆ เข้มๆ เท่านั้น’ ไหม คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้ใครเป็นคนกำหนด สังคม ขนบธรรมเนียม ความทรงจำ หรือแค่ความคิดติดกรอบของคุณเอง
หรือหากจะประนีประนอมหน่อย ก็คือ Les Colognes ของหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) ที่ลดความเป็น Statement Perfume หรือ ‘น้ำหอมบ่งบอกตัวตนว่าเป็นคนเช่นไร’ แต่กลับเล่นกับความสนุกสนาน และประสบการณ์ของวันพักร้อนมากกว่า โดยมีฌาคส์ กาวาลิเยร์ แบลทรูด (Jacques Cavallier Belletrud) สุคนธกรหลักของบ้านรังสรรค์กลิ่นหอมที่สดชื่นบางเบาและแน่นอนคือไร้เพศไร้วัยและสามารถสัมผัสลึกถึงความทรงจำร่วมกันของคนในทุกสถานะผ่านกลิ่นของแสงแดดทะเลชายหาดและสวนเขตร้อน
ถ้าคุณเริ่มเข้าใจถึงความอึดอัดในการเก็บกอดกรอบคิดที่สังคมและคนอื่นมอบให้คุณแล้วล่ะก็ เราก็อยากจะท้าทายคุณให้แหวกกรอบของตัวเองมาสู่เจตจำนงเสรี ที่ซึ่งสรรพสิ่งในโลกล้วนลื่นไหล และความหลากหลายคือความอุดมสมบูรณ์ด้วยกลิ่นหอมที่เราคัดสรรแล้วว่าเป็นผลงานที่ทุกเพศสามารถชื่นชม และเข้าถึงได้ แม้จะถูกจำกัดด้วยคำว่า ‘For Men’ และ ‘For Women’ ก็ตาม
นับแต่นั้นอุตสาหกรรมน้ำหอมทั้ง Mass และ Niche ต่างก็ขานรับนโยบาย ด้วยการเพิ่มไลน์น้ำหอมที่ออกจะค้านแนวคิดอนุรักษนิยมเดิมอยู่ในที และเติมตลาดให้เต็มด้วยกลิ่นที่สามารถใช้ได้ไม่จำกัดเพศตามกันมาอย่างมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิตน้ำหอมเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมน้ำหอมอย่างกอมม์ เดส์ การ์ซงส์ (Comme des Garçons) ก็ยังนำเสนอน้ำหอมไร้เพศมาโดยตลอด โดยอาศัยตัวบทใหญ่ๆ ในการนำเสนอเนื้อเรื่องมากกว่าการแบ่งเพศ เช่น Comme des Garçons 2011 ที่เสนอกลิ่นกาวยางแสนแหวกแน่นอนว่ากลิ่นกาวที่หอมหรือไม่นี้ยังไม่มีกรอบคิดมาครอบว่าควรเป็นกลิ่นของเพศใดหรือจะกลิ่นพื้นคอนกรีตแห้งๆก็มีให้ลองเช่นกันกลิ่นเหล่านี้ช่างท้าทายทั้งผู้ใช้และคนรอบตัว
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา การเกิดขึ้นของน้ำหอมสำหรับทุกเพศ หรือแนวยูนิเซ็กส์อย่าง CK One จาก คาลวิน ไคลน์ (Calvin Klein) เมื่อปี ค.ศ. 1994 ก็ไม่ได้ทำให้เส้นขอบความเป็นหญิงและชายในน้ำหอมเลือนหายไปได้มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้คนค่อยๆ กลับมาคุ้นเคยกับกลิ่นหอมเพื่อความพึงใจมากกว่าการส่งเสริมบทบาททางเพศของตน แต่หากมองย้อนหลังกลับมาก็จะพบว่ากระแสน้ำหอมไร้เพศ หรือ Gender Neutral นั้นเริ่มโตขึ้นพร้อมกับแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา (Barack Obama) สนับสนุนเต็มที่ และมองเห็นการดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศมากกว่าที่จะเป็นแค่เฉดสีจางๆ ในเบื้องหลัง
ประการถัดไปคือการตั้งเจตนาหลักของการใช้น้ำหอม ว่ามีไว้เพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามมากกว่าใช้เพื่อความรื่นรมย์ของตนเองไหม ความคิดนี้นำไปสู่การที่เพศหนึ่งนำเสนอกลิ่นของตนเองตามที่คิดว่าอีกฝั่งเพศหนึ่งจะพึงใจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วกลิ่นที่คุณชื่นชอบจริงๆ จะไม่ถูกกลบหายไปหรือ ดังเช่นน้ำหอม No.5 ของชาเนล ที่เป็นน้ำหอมกลิ่นแรกๆ ซึ่งแหวกขนบน้ำหอมเพื่อผู้หญิงในอดีต เพราะกลิ่นจะมุ่งเน้นไปที่กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งแบบโดดๆ แล้วชดเชยด้วยอัลดีไฮด์จำนวนมาก จนดมแล้วไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเป็นกลิ่นของดอกอะไร แต่การนำแบรด พิตต์ (Brad Pitt) มาเป็นพรีเซนเตอร์ก็ไม่ได้หนีจากความคิดที่ว่าผู้หญิงควรทำให้ผู้ชายพึงใจ และควรต้องเอาอกเอาใจพวกเขาด้วยกลิ่นที่เขาอยากดมมากกว่ากลิ่นที่ตนเองชอบ แล้วกลุ่มต่อมาอย่างกลุ่มความหลากหลายทางเพศล่ะ จะบอกว่าโลกนี้มีเพียงสองเพศก็คงจะเกิดความลักลั่นไม่น้อยในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งเราจะชวนคุยชวนคิดกันต่อไป
กรอบคิดเรื่องเพศในน้ำหอมก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นทีละน้อยผ่านภาพโฆษณาในนิตยสาร ที่แม้ไม่อาจเสนอกลิ่นหอมได้ แต่สามารถสร้างภาพตัวแทนของกลิ่นผ่านหน้าโฆษณาแทน ไม่ว่าจะเป็นภาพเหล่าเทพเทวี หรือสตรีชั้นสูงว่าน่าจะมีกลิ่นเช่นไร เหมาะสมกับน้ำหอมของแบรนด์ตนอย่างไร นับแต่นั้นมาการเลือกน้ำหอมด้วยความพึงพอใจในกลิ่นอย่างแท้จริงก็บางจางลง แต่ความอยากจะเป็น อยากจะนำเสนอตัวเองผ่านกลิ่นให้ตรงตามภาพโฆษณากลับทวีความเข้มข้น ดังเช่นภาพโฆษณาเอนโจลี (Enjoli) ที่นำเสนอภาพภรรยาที่ดีอย่างที่พ่อบ้านชาวอเมริกันหวัง คือทำงานหารายได้เพิ่มเติมให้ครอบครัวได้ ทั้งเรื่องงานบ้านและการดูแลลูกก็ไม่ขาดตกบกพร่อง แถมยังใส่ใจเรื่องสุขภาพ รู้จักออกกำลังกาย ซึ่งพวกเธอต้องทำทั้งหมดนี้ได้อย่างมีความสุข สวยงาม และมีกลิ่นหอมประทับใจ
คล้ายกันกับที่หลายคนมองเห็นตัวเองเป็นหนุ่มนักธุรกิจใส่สูทเทเลอร์สีกรมท่าทันสมัยทุกครั้งที่หยิบ Bleu de Chanel ของชาเนล (Chanel) มาพร่างพรม หรือไม่ก็เป็นหนุ่มหัวขบถสุดลุยผู้ชื่นชอบปาร์ตี้รอบกองไฟเสมอเมื่อเลือกใช้ Sauvage ของดิออร์ (Dior) ดังนั้นการนำเสนอของแบรนด์ผ่านโฆษณาต่างๆ ที่ปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่หน้านิตยสาร แต่ยังเป็นได้ทั้งคลิปวีดิทัศน์ หรือแม้กระทั่งการเลือกลงสื่อตามช่องทางที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้หล่อเลี้ยงความคิดของเราผ่านระยะเวลายาวนานว่ากลิ่นหอมเป็นของจับต้องไม่ได้ เป็นนามธรรมที่มีความเป็นเพศ วัย อายุ โอกาส และบุคลิก ทั้งที่แท้จริงแล้วกุหลาบไม่ได้มีความเชื่อมโยงใดกับเพศหญิง เช่นเดียวกับลาเวนเดอร์ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพศชาย และอย่าลืมว่าลาเวนเดอร์ที่ใช้มากในกลุ่มน้ำหอมผู้ชาย ก็จัดเป็นดอกไม้เช่นกัน
คิดนอกกรอบ…น้ำหอมไม่จำกัดเพศ น้ำหอมผู้ชาย Vs น้ำหอมผู้หญิง