มี.ค.05
น้ำหอมคืออะไรเอ่ย?
พูดถึงน้ำหอม หลายคนอาจจะนึกถึงกลิ่นความหอมที่ตัวเองชื่นชอบ หรืออาจจะกำลังนึกถึงกลิ่นน้ำหอมตอนที่หนุ่มๆเดินผ่านแล้วมีกลิ่นน้ำหอมลอยมาเตะจมูก ชวนให้หลงใหลในกลิ่นนั้นเหลือเกิน ซึ่งความหมายของน้ำหอมก็คือส่วนผสมที่ปรุงให้เข้ากันอย่างดีจากธรรมชาติ และสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้น มีทั้งกลิ่น และสี ซึ่งยังรวมไปถึง กลิ่นหอมที่สามารถสื่อความหมายได้อีกด้วย
วิธีทำน้ำหอม
ซึ่งน้ำหอมนั้น จะมีการถูกนำมาปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม(Perfumer) ซึ่งจะไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในสัดส่วนของการปรุง เพราะต้องทดสอบ ทั้งกลิ่น ทั้งสี และความหมายที่จะสื่อออกไป เรียกว่าต้องให้ทุกอย่างลงตัว ประมาณว่า หอมอย่างมีคุณค่าและมีความหมายนั่นล่ะ
น้ำหอมบางกลิ่นอาจจะมีส่วนผสมเพียง 1- 2 ชนิดเท่านั้น หรือน้ำหอมบางกลิ่นอาจจะมีส่วนผสมมากเป็นร้อยชนิดก็ได้ ซึ่งน้ำหอมแต่ละชนิดถูกปรุงแต่งกลิ่นมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน เช่นน้ำหอมสำหรับผู้หญิง น้ำหอมสำหรับผู้ชาย ที่ปัจจุบันนี้มีการแยกกลิ่นให้ตรงกับเพศด้วย หนำซ้ำบางกลิ่นยังออกแบบมาให้มีความหมายนัยแอบแฝงอีกเช่นกัน
ความหนักใจอยู่ที่ผู้ปรุงน้ำหอม เพราะจะต้องสามารถจำแนกกลิ่นต่างๆได้เป็นอย่างดี และจดจำกลิ่นต่างๆที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทให้ได้ ตลอดจนการสื่อความหมายของกลิ่นแต่ละกลิ่น ที่สำคัญคือการเลือกกลิ่นแต่ละกลิ่นให้เข้าถึงอารมณ์ของผู้ใช้ด้วย เรียกว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงเลยทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมาเป็นน้ำหอมให้เราได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังตอนหนึ่งที่เมือง Thebes ในประเทศอียิปต์ ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังชโลมนํ้าหอมลงบนศีรษะ และยังมีหลักฐานอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่า ได้มีการใช้เครื่องหอมเหล่านี้ในพิธีกรรมต่างๆ ชาวอียิปต์โบราณบูชาเทพเจ้าของเขาด้วยเครื่องหอมและน้ำมันหอมระเหย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการเฉลิมฉลองพิธีการต่างๆทางด้านศาสนาและประทินความงามของสตรี ชาวกรีกเดินทางกลับจากการแสวงหาโชคต่างแดนด้วยการนำเครื่องหอมใหม่กลับมาด้วย ในขณะที่ชาวโรมันโบราณเชื่อว่าน้ำหอมมีคุณสมบัติด้านการบำบัดโรคร้ายได้
“น้ำหอม“ เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 14 วัฒนธรรมการปะพรมน้ำหอมถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชนชั้นสูงในราชสำนัก ต่อมาก็ได้แพร่ความนิยมไปสู่สามัญชนทั่วไป และในศตวรรษที่ 19 มีการผลิตน้ำหอมสังเคราะห์ ตลอดจนน้ำหอมที่สกัดจากธรรมชาติ และการประดิษฐ์ขึ้นของน้ำหอมกลิ่นใหม่ ความนิยมในการปลูก ดอกมะลิ กุหลาบ และต้นส้มเพื่อการค้าในสมัยนั้น ส่งผลให้เมือง Grasse ในฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการผลิตน้ำหอมจากวัตถุดิบ จึงได้ขนานนามว่า เมืองแห่งน้ำหอม นั่นเอง