น้ำปรุง เป็นน้ำที่มีกลิ่นหอมๆ ซึ่งสตรีไทยในวังได้ผลิตขึ้นไว้ใช้เอง ซึ่งน้ำปรุงได้จากการนำดอกไม้หอม และเครื่องเทศ ต่างๆ มาสกัดกลิ่นและสีอย่างใบเนียม กุหลาบ มะลิ ดอกจำปี ซ่อนชู้ ใบเตยหอม ฯลฯ มาสกัดกลิ่นผสมกับสมุนไทยเครื่องหอม โดยหมักทิ้งเอาไว้ 12-15 เดือน ก็จะได้น้ำปรุงจากธรรมชาติ ซึ่งมีกลิ่นหอมๆ ติดเป็นกลิ่นกายทนนานเหมือนแม่หญิงการะเกด ที่ประพรมน้ำปรุงหอมๆ จนคุณพี่หมื่นอดใจไม่ได้ที่จะต้องหยุดดอมดมกลิ่นกายของแม่หญิงใกล้ๆ เรียกได้ว่าน้ำปรุงมีความหอมไม่แพ้น้ำหอมจากต่างประเทศเลยล่ะ ที่สำคัญคือ น้ำปรุงไม่มีสารเคมีเจือปนแถมยังได้รับคุณค่าจากสมุนไพรอีกด้วย
จากตำนานความหอมของชาววังในอดีต ที่มีกลิ่นหอมอันเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ซึ่งมีการผสานศิลปะอันละเมียดละไมของหมู่มวลดอกไม้ต่างๆ ที่มีการสร้างสรรค์ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของน้ำปรุงชาววังโบราณ ด้วยส่วน ผสมของพรรณไม้ ดอกไม้นานาชนิด จึงมีความโดดเด่นและถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งน้ำปรุงสูตรโบราณ ปรุงจากการร่ำดอกไม้สดในน้ำสะอาดตลอดเวลา 24 ชม. เป็นเวลา 25 วัน โดยผลัดเปลี่ยนดอกไม้ตามสูตรทุกๆ 3 ชม. และมีการอบควันเทียนเกสรทั้ง 9 ทุก 4 ชม. นำมาหมักผสมรวมกับวัตถุดิบต่างๆอีกมากมาย หมักทิ้งไว้ 12-15 เดือน จนได้น้ำปรุงเป็นสีทองโดยสามารถนำไปใช้ในการอบร่ำผ้า,ใช้ประพรมตัวแทนน้ำหอม ,สรงน้ำพระ,รดน้ำผู้ใหญ่, ใช้ในพิธีมงคลต่างๆ ฯลฯ
เพราะสมัยก่อนสาวชาววังจะใช้น้ำปรุงแต้มที่ผิว ใส่ผม และ นำไปอบร่ำเสื้อผ้าที่สวมใส่ ทำให้ในอดีตมักจะมีคำพูดติดปากว่า สาวชาววังไม่ว่าจะนั่งที่เรือนไหนก็มีกลิ่นหอมติดกระดาน ด้วยวิธีการทำนั้นประณีต วิจิตรบรรจงมาก ทำให้เวลาไปนั่งคุยที่เรือนไหน พอลากลับไปแล้ว กลิ่นก็ยังติดกระดาน ทำให้คนภายนอกจึงมักจะพูดเสมอว่า “หอมแบบชาววัง หอมติดกระดาน”
ด้วยการคัดวัตถุดิบที่ดี และปรุงด้วยความรักจะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด จากส่วนผสมหายากนานาชนิดอย่างน้ำแห่งศรัทธา (น้ำพระพุทธมนต์ ที่สรงองค์พระบาง ,องค์พระม่าน และพระวัดอื่นๆ รวม 9 วัด ที่เมืองหลวงพระบาง ในงานสรงน้ำพระช่วงสงกรานต์ของทุกปี และใช้น้ำจากบึงพญานาคโบราณ ที่หลวงพะบาง, น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา, น้ำผึ้งสดจากรวงเดือนห้า ฯลฯ) และดอกไม้ในวรรณคดี อย่างดอกราชาวดี,พิกุล มะลิ,กุหลาบ,กะดังงา,ลำเจียก, กระดังงา,ใบเตยหอม,ใบเนียมหอม ,จันทร์กะพ้อ,จำปา,ดอกซ่อนชู้ป่า,จำปาลาว,บัว ฯลฯ และส่วนผสมหายากจำพวกน้ำมันจันทร์,ชะมดเช็ด,กำยาน, หญ้าฝรั่น,อบเชย, อำพันทะเล,ฝักวานิลา, น้ำผึ้งเดือนห้าจากรวงผึ้งสด ฯลฯ
โดยใช้วิธีหมักและปรุงด้วยวิธีการดั้งเดิมแบบโบราณในระยะเวลา 12-15 เดือน ไม่มีการใส่สีผสมอาหาร ส่วนสีทองได้จากแก่นชะลูด และน้ำตาลกรวด ทำให้เป็นสีจากธรรมชาติจากดอกไม้และส่วนผสมต่างๆ และเอทิลแอลกอฮอลล์สกัดจากข้าวโพด เป็นการใช้ใบพลูสด โดยนำชะมดเช็ดวางกลางใบพลูแล้วนำเทียนไขลนใต้ใบพลู เพื่อฆ่ากลิ่นชะมดเช็ดก่อนจะหย่อนลงโถหมัก เพื่อให้กลิ่นชะมดเช็ดคลายความสาป แล้วเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมแห่งความรัญจวนที่มาผสมในทุกอณู คราวนี้แม่หญิงการะเกดก็จะได้น้ำปรุงกลิ่นหอมๆ เอาไว้ประพรมกายให้พี่หมื่นดอมดมให้ชื่นใจทั้งวันเลยล่ะ
-
น้ำหอมกลิ่น Karakade Eau de Parfum กลิ่นหอมหวานสดใส และสนุกสนาน ที่ทุกคนจะต้องหลงรัก ซึ่งความหอมที่ลงตัวเกิดจากดอกการะเกดที่ให้ความหวานละมุน แต่ก็อบอุ่นในคราวเดียวกัน พร้อมด้วยส่วนผสมพร้อมกลิ่นอายของความเป็นไทยๆ ซึ่งมีความน่าสนใจสดใหม่มาปรุงเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
-
ถ้าเปรียบถึงดอกพุดซ้อนนั้น เราก็คงจะนึกถึงดอกไม้ที่บอบบางน่าทะนุถนอม เช่นเดียวกันกับ น้ำหอม Gadenia Eae de Parfum หรือ ดอกพุดซ้อน น้ำหอมที่ให้สดชื่นราวกับเรากำลังโอบอุ้มหญิงสาวที่งดงามดุจเจ้าหญิงน้อยที่เบ่งบานสะพรั่งน่าหลงใหลเป็นที่สุด น้ำหอมกลิ่นดอกพุดซ้อน ที่คัดสรรผลผลิตอย่างเอาใจใส่เป็นน้ำหอมที่คัดแต่ละเม็ดขึ้นมาสกัด เป็นน้ำหอมกลิ่นดอกพุดซ้อน ที่งดงาม หอมแบบให้ความอ่อนโยนของดอกไม้งาม ที่เหล่าหมู่ผึ้งภมรต่างพากันมารุมล้อม กลิ่นที่ให้ความสดชื่นของดอกไม้โบราณอันขึ้นชื่อว่ายิ่งบานยิ่งส่งกลิ่นหอมกระจาย แบบเย้ายวนใจแก่ผู้ได้สัมผัส ตราบช่วงเวลาแห่งราตรี