ความสำคัญของกลิ่นในอดีตเป็นทั้งส่วนสำคัญในชีวิต และสัญลักษณ์ของความสูงส่ง อีกทั้งยังเป็นเครื่องหอมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นเครื่องประทินผิวในกลุ่มสตรีสูงศักดิ์ รวมไปถึงการใช้ในการปรุงอาหาร เรียกว่าวิถีชีวิตของเราอาจมีรูปแบบที่ผูกพันกับกลิ่นหอมๆ มานานแสนนาน แต่จะมีใครรู้บ้างว่ากลิ่นหอมๆ เหล่านั้นมีประโยชน์มากกว่าเพียงความหอมรัญจวนใจเพียงใด
เมื่อ พ.ศ. 2463 – 2473 ที่ผ่านมา ณ ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษในเรื่องน้ำหอม สมัยนั้นมีผู้สงสัยและได้ทำการศึกษาเรื่องกลิ่นหอมๆ อย่างจริงจัง โดย “เรอเน่- โมริช กาต-เตอฟอสเซ” ได้ค้นพบว่ากลิ่นดอกลาเวนเดอร์ จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส และคุณสมบัติของดอกชนิดนี้ยังสามารถช่วยรักษาอาการจากแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้อีกด้วย ซึ่งถือ เป็นการจุดประกายความคิดให้เกิดการศึกษาเรื่องกลิ่นเพิ่มมากขึ้นไปอีก จนกระทั่งในเวลาต่อมา จึงมีการศึกษาวิจัยถึงคุณสมบัติของกลิ่นต่างๆ จนกลายเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทำให้ที่มาของกลิ่นหอมๆ เริ่มมีคนสนใจมากขึ้นและยังนำมาประโยชน์ในด้านการช่วยรักษาอาการต่างๆ ได้อีกด้วย
-
น้ำหอม Jalore Eau de Parfum เซ็กซี่เบาๆแต่เย้ายวนเพิ่มความโรแมนติก ที่มีกลิ่นแนว Floral ซึ่งกลิ่นของน้ำหอมขวดนี้จะให้ความรู้สึกสะอาด สดชื่นและเซ็กซี่ ราวกับว่าคุณพึ่งอาบน้ำเสร็จ จะทำให้คุณมีกลิ่นหอมในสไตล์ สาวเซ็กซี่ที่ติดหรูนิดๆ แบบมีมนต์เสน่ห์ เย้ายวนที่ไม่แพ้เหล่านางแบบเลยทีเดียว
-
น้ำหอม Poppy Love Eau de Parfum ที่ประเดิมความหอมแรกด้วยกลิ่นหอมของแนวดอกไม้และผลไม้ ด้วยความที่มีความหอมมากมาย ยามที่ได้ฉีดจนทำให้ผู้คนรอบข้างได้กลิ่นแล้ว จะทำให้จังหวะหัวใจเต้นแรงขึ้น เพราะการได้ฉีดน้ำหอม จะทำให้รู้สึกสดชื่น ซึ่งเมื่อฉีดไปแล้ว คุณจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ และตบท้ายความอบอุ่นเย้ายวนที่ชวนโรแมนติกด้วยกลิ่นหอมแบบวานิลลา
-
น้ำหอม Escape Eau de Parfum เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากสุภาพบุรุษจากทั่วโลก กลิ่นของหอมจากต้นตำหรับที่สกัดและผลิตทุกขั้นตอนอย่างเอาใจใส่ น้ำหอมที่หอมติดทนนาน โดดเด่นแบบไม่ฉุนจัดจนเกินไป เมื่อใครได้ทดลองแล้วใช้ต่างพากันติดใจจนอดไม่ได้ที่จะซื้อซ้ำอีกอย่างแน่นอน
ที่มาของน้ำมันหอมที่ให้กลิ่นของความหอมที่หลกหลายนั้น ทำมาจากสารสกัดที่เป็นส่วนต่างๆ ของพืช โดยขึ้นอยู่กับว่าพืชชนิดนั้นจะมีศูนย์รวมของกลิ่นอยู่ที่ส่วนไหน ? ไม่ว่าจะเป็นส่วนของราก ที่เปลือก ใบ ดอก ในเนื้อไม้ ผล หรือแม้แต่ยาง ซึ่งในการสกัดน้ำมันหอมออกมาแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากกระบวนการที่ยุ่งยากแล้ว ยังต้องใช้วัตถุดิบในปริมาณที่สูงมากๆ หากเป็นกลิ่นดอกไม้ ก็จะต้องใช้ดอกไม้ในปริมาณที่เยอะมากๆ กว่าที่จะสกัดกลิ่นออกมาเป็นน้ำมันหอมขวดจิ๋วๆ ได้สักขวด ตามปกติทั่วไปน้ำมันหอมจะมีอยู่เพียง 1.5% ของวัตถุดิบที่นำมาสกัด อย่างการสกัดน้ำมันหอมจากดอกมะลิ อาจจะต้องใช้ดอกมะลิถึง 40,000 ดอก เพื่อที่จะได้น้ำมันดอกมะลิเพียงประมาณ 5 กรัม ทำให้ทราบว่าเหตุใด? น้ำมันหอมจึงมักมีราคาค่อนข้างสูง
คำถามที่หลายคนสงสัยและค้นหาคำตอบอยู่เสมอคือ กลิ่นหอมๆ กับ โรคต่างๆ มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร? ซึ่งการรับกลิ่นทำโดยระบบประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกสุข ตื่นเต้น หดหู่ รวมไปถึงอารมณ์ทางเพศซึ่งกลิ่นมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนนี้ เพราะหากเรารู้จักกับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ก็จะพบกับความสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมโยงและส่งผลถึงกัน โดยเฉพาะจมูกของเราเป็นอวัยวะที่ไวต่อการรับรู้กลิ่นมาก และด้วยความสัมพันธ์ของกลิ่น และอารมณ์ กลิ่นหอมๆ จากธรรมชาติจึงเหมาะมากสำหรับคนในยุคนี้ที่มีความเสี่ยงสูงต่ออาการที่เกิดจากความเครียด ไม่ว่าจะเป็นโรคไมเกรน อาการวิตกกังวล หรือช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน โรคความดันโลหิตสูง อาการเกี่ยวกับลำไส้ระคายเคือง และอาการที่เกี่ยวกับสภาพทางจิตใจ ทำให้สปาหลายๆ แห่งมักจะนำเอากลิ่นบำบัดไปใช้เพื่อสร้างความผ่อนคลายทั้งในด้านอารมณ์ จิตใจและร่างกายให้กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ
วิธีการใช้น้ำมันหอมเพื่อรักษาอาการป่วยหรือลดภาวะของอาการเครียดนั้น ลองเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่เหมาะสมโดยอาจจะใช้กลิ่นเพียงกลิ่นเดียว หรือหลายๆ กลิ่นที่ชอบก็ได้ แล้วดูว่าร่างกายตอบสนองต่อกลิ่นไหน? เพื่อหากลิ่นที่เหมาะสมที่สุดในการช่วยผ่อนคลายอาการเครียด